Archives April 2024

หมอฟันเสียรู้แก๊งคอลเซนเตอร์ หลอกยืนยันโฉนดที่ดิน สูญ 3 แสน

นายแพทย์โมฮัล ศกภูเขียว ทันตแพทย์ และ นักร้องหมอลำ ของจังหวัดอุบลราชธานี ร้องเตือนภัยหลังตัวเองตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สอบถามเรื่องการยืนยันโฉนดที่ดินของตนเองว่าทำแล้วหรือยัง ตัวเองยังไม่สะดวกคุย จึงขอให้ทิ้งไอดีไลน์เอาไว้แล้วจะติดต่อกลับ เนื่องจากติดคนไข้อยู่

หลังจากนั้นประมาณ 1 อาทิตย์ ช่วงที่ว่างจากคนไข้จึงนึกขึ้นได้ว่าคุยค้างไว้กับทางเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินอุบราชธานี (มิจฉาชีพ) จึงได้ทักไลน์ติดต่อกลับ

“กรมที่ดิน” แฉกลโกง “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” รู้ข้อมูลเหยื่อ-หลอกดูดเงินอย่างไร

รวบ “ผิงผิง” มือขวาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ วางยาชิงทรัพย์หนุ่มทั่วกรุงเทพฯ

โดยปลายทางมีภาพโปรไฟล์ของสำนักงานที่ดิน และได้แจ้งว่าตัวเองเป็นรายสุดท้ายแล้วให้ทำการยืนยันโฉนดของให้ทำการยืนยันผ่านทางลิงก์ ที่ส่งมาทางแอปพิเคชันไลน์ ตัวจึงหลงเชื่อเนื่องจากทาง มิจฉาชีพมีข้อมูลส่วนตัวของตนเองทั้งหมด รวมทั้งเลขโฉนด เลขแปลง ชื่อ ตำแหน่ง ทำให้ตัวเองเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่จริงระหว่างนั้น ทางมิจฉาชีพก็ได้ให้ตัวเองทำตามขั้นตอนตามที่มิจฉาชีพบอก จนถึงขั้นตอนการสแกนใบหน้า ซึ่งขั้นตอนนี้ใช้เวลานานมากมีเพียงตัวเลขเปอร์เซ็นต์ที่หมุนอยู่หน้าจอเท่านั้น

จากนั้นก็ใช้เวลาในการยืนยันทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมง จนพนักงานที่คลินิก เข้ามาเห็นผิดสังเกตจึงพยายามบอกให้ตัวเองเลิกทำการยืนยัน ตัวเองจึงพยายามที่จะยกเลิกแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรกับโทรศัพท์ได้ ทั้งถอดซิม ทั้งปิดWIFI ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายมิจฉาชีพได้โอนเงินจากบัญชีธนาคาร ออกไปกว่า 320,000 บาท

"ครม.เศรษฐา" ปรับแผนจ่ายเงินเดือนข้าราชการเป็นเดือนละ 2 รอบ คาดเริ่ม 1 ม.ค. 67

ครม.เศรษฐา ลดราคาน้ำมันดีเซล 20 ก.ย. – ลดค่าไฟฟ้าเริ่มรอบบิล ก.ย.

"ผลสอบ ก.พ.66” รอบ Paper & Pencil ประกาศแล้ว เช็กรายชื่อได้ ที่นี่ !

นายแพทย์โมฮัล ยังกล่าวอีกว่า ตัวเองได้มีการระวังและโดนกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พยายามจะมาหลอกหลายครั้ง และก็รอดมาได้ทุกครั้ง จนทำให้ตนเองได้มีการแต่งเพลงกลอนลำ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ยังไม่ได้บันทึกเสียงก็มาพลาดในที่สุดคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

 หมอฟันเสียรู้แก๊งคอลเซนเตอร์ หลอกยืนยันโฉนดที่ดิน สูญ 3 แสน

ภาพจาก : ShutterStock และ รายการเที่ยงทันข่าว

เตือนภัย! มิจฉาชีพไม่ตกเทรน หลอกให้ดาวน์โหลดแอป อ้างรับเงินดิจิทัล

“ชูวิทย์”เปรียบเพื่อไทย “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” หลอกตั้ง “รัฐบาลมิจฉาชีพ”

“เศรษฐา” วอนแรงงานไทยเร่งกลับบ้าน หลังนายจ้างอิสราเอลเพิ่มเงินจูงใจให้อยู่ต่อ

ระเบิดใกล้โรงพยาบาลหลายแห่งในกาซา ด้านจำนวนตัวประกันเพิ่มเป็น 222 ราย

สหรัฐฯ พร้อมตอบโต้ หากตกเป็นเป้าโจมตีในช่วงสงครามอิสราเอล-ฮามาส

เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2566 ภายหลังนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประชุมติดตามสถานการณ์ความรุนแรงในอิสราเอล โดยแถลงระบุว่า วันนี้นำคนไทยกลับมาได้ประมาณ 800 คนต่อวัน และสามารถเพิ่มขึ้นได้อีก แต่ปัญหาคือ การเปลี่ยนใจไม่เดินทางกลับมา เนื่องจากทางนายจ้างที่อิสราเอลดึงเรื่องการจ่ายเงินเป็นวันที่ 10 พ.ยคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง. และมีการขึ้นค่าจ้างเป็นแรงจูงใจให้แรงงานไทยอยู่ต่อ

ในส่วนของการทหารการต่างประเทศยืนยันตรงกันว่าแม้การถล่มจะเบาบางลง

แต่ความเข้มของสงครามไม่ลดลง มีแนวโน้นเพิ่มขึ้นและขยายวงไปบางประเทศใกล้เคียง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง กังวลว่าจะเลวร้ายลง และมีข่าวว่าจะมีปฏิบัติการภาคพื้นดิน ซึ่งมีข่าวว่าอาจจะเกิดขึ้นในอีก 2-3 วันนี้ โดยขอเตือนพี่น้องคนไทยให้พิจารณากลับประเทศไทย ถ้ามีปฏิบัติการภาคพื้นดินจะทำให้การอพยพยากลำบากขึ้นอีก ซึ่งในส่วนนี้จำเป็นต้องสื่อสารให้ประชาชนทราบ

ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการกระทรวงแรงงานให้ดูแลแรงงานที่จะกลับเข้ามา โดยเพิ่มแรงจูงใจอาจจะเพิ่มค่าแรงจาก 15,000 บาท เป็นจำนวนที่มากขึ้น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ นายธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นห่วงช่วยคิดถึงการทำงานภายหลังกลับมาประเทศไทยของแรงงาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่เคยทำงานด้านการเกษตร ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เพราะฉะนั้นการกลับเข้ามา กระทรวงเกษตรฯ อาจมีความต้องการในส่วนของแรงงานนี้ และจะประกาศออกไปให้ทราบว่าถ้ากลับมาก็จะมีงานทำอยู่

ขณะที่นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า รัฐบาลได้ใช้ถูกวิธีทาง ผ่านนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย รวมทั้งได้พูดคุยกับกษัตริย์โอมาน บาห์เรน มกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบีย ซึ่งทุกท่านตระหนักและทราบดีว่าไทยไม่ได้เป็นคู่ความพิพาทกับใคร มีความสูญเสียที่สูงมาก มีตัวประกันอยู่ถึง 19 คน ตอนนี้ และยังไม่รู้ชะตากรรม ทุกฝ่ายทำงานอย่างหนัก

 “เศรษฐา” วอนแรงงานไทยเร่งกลับบ้าน หลังนายจ้างอิสราเอลเพิ่มเงินจูงใจให้อยู่ต่อ

โดยจะมีเจ้าหน้าที่ชั้นสูงเดินทางออกไปพบ แต่ขอไม่เปิดเผยรายละเอียด วันนี้สามารถอพยพคนไทยกลับประเทศได้ 800-1,000 คน สถานการณ์เปลี่ยนแปลง การบริหารจัดการก็มีปัญหา อยากให้กลับมาแสดงเจตจำนงกลับมา ไม่อยากให้เปลี่ยนใจ ถ้ามีการปฎิบัติการภาคพื้นดิน การลำเลียงคนออกมาศูนย์พักพิงจะยากขึ้น อย่างแรกคือความปลอดภัยของแรงงานไทยอย่างอื่นการจัดการอื่นๆ เป็นเรื่องรอง คำนึงถึงความปลอดภัยของคนไทยให้มารายงานตัวกับเจ้าหน้าที่

“วิโรจน์” โวยรัฐบาล ลักไก่ปรับเกณฑ์จ่ายเบี้ยผู้สูงอายุ ต้องพิสูจน์ความจน

หลังราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566คำพูดจาก สล็อตเว็บตรงฝาก

 “วิโรจน์” โวยรัฐบาล ลักไก่ปรับเกณฑ์จ่ายเบี้ยผู้สูงอายุ ต้องพิสูจน์ความจน

โดยระบุใจความสำคัญว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายเงิยเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546

คุณสมบัติของผู้สูงอายุที่จะได้รับสิทธิ ต้องเป็นผู้ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ ตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุกำหนด

ภาพ :นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร

อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้สูงอายุที่ได้ขึ้นทะเบียนและรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจากองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น อยู่ก่อนวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ (12 สิงหาคม) ให้ยังมีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นต่อไป

โวยลักไก่ปรับเกณฑ์จ่ายเบี้ยผู้สูงอายุ

ล่าสุด นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กระทบกับสิทธิของประชาชนอย่างร้ายแรงมาก เพราะรัฐบาลรักษาการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ลักไก่กำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566 เสียใหม่

เกณฑ์การจ่ายเบี้ยสูงวัยเดิม-ระเบียบใหม่

โดยแต่เดิมการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จะเป็นการจ่ายแบบถ้วนหน้า ผู้สูงอายุทุกคนได้รับ 600-1,000 บาทต่อเดือน คือ

  • อายุ 60-69 ปี ได้ 600 บาทต่อเดือน
  • อายุ 70-79 ปี ได้ 700 บาทต่อเดือน
  • อายุ 80-89 ได้ 800 บาทต่อเดือน
  • อายุ 90 ปีขึ้นไป ได้ 1,000 บาทต่อเดือน

แต่ตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป ตามข้อที่ 6 (4) ผู้สูงอายุที่ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ เท่านั้นถึงจะได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

แม้ว่าในบทเฉพาะกาล ข้อที่ 17 จะระบุว่า ผู้สูงอายุที่ได้ขึ้นทะเบียน และรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก่อนวันที่ 12 สิงหาคม 2566 ยังมีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุต่อไป

เกณฑ์ใหม่อาจส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง

  • สิทธิของประชาชนทุกคน ที่จะทยอยอายุครบ 60 ปี ในอนาคต
  • ประชาชนที่จะมีอายุครบ 70 ปี 80 ปี 90 ปี ที่ต้องได้รับการปรับเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ จะมีคำถามต่อว่า จะได้รับการปรับเพิ่มหรือไม่
  • ผู้สูงอายุที่แต่เดิมพอจะมีรายได้จุนเจือตนเองบ้าง ซึ่งตามหลักเกณฑ์ใหม่จะไม่ได้รับเบี้ยยังชีพ หากในเวลาต่อมา รายได้ที่เคยดิ้นรนหาเลี้ยงชีพ เกิดหดหายไป ผู้สูงอายุคนนั้นจะไปติดต่อขอรับเบี้ยยังชีพได้ที่ไหนอย่างไร

ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) อยู่ 11 ล้านคน ทราบข่าวมาว่า จะมีการใช้ฐานข้อมูลบัตรคนจน ในการพิจารณาจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ซึ่งจะทำให้มีผู้สูงอายุได้รับเบี้ยยังชีพเพียงแค่ 5 ล้านคนเท่านั้น โดยผู้สูงอายุอีก 6 ล้านคน จะถูกรัฐลอยแพ

ที่สำคัญ คือ เราก็รู้อยู่แล้วว่าฐานข้อมูลของบัตรคนจน นั้นมีความมั่วอยู่พอสมควร มีคนจนถึง 46% ที่ไม่ได้รับบัตร ในขณะที่ 78% ของคนที่ถือบัตร เป็นคนที่ไม่ยากจนแต่อยากจน ข้อมูลตกหล่นมากมายแบบนี้ แล้วจะเอามาใช้เป็นเกณฑ์ในการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุได้อย่างไร

นอกจากนี้ ในมาตรา 11 (11) ของพ.ร.บ.ผู้สูงอายุ ได้กำหนดเอาไว้ว่า การจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุจะต้องจ่ายเป็นรายเดือน โดยต้องจ่ายให้ทั่วถึง และเป็นธรรม ซึ่งก็มีประเด็นว่า การบังคับให้ผู้สูงอายุต้องพิสูจน์ความจน นั้นอาจเป็นการกีดกันประชาชนไม่ให้ได้รับสวัสดิการจากรัฐ ซึ่งขัดกับ พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ ซึ่งสามารถฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนหลักเกณฑ์ฉบับนี้ได้

การปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุในครั้งนี้ ถือเป็นการลักไก่ของรัฐบาลรักษาการ ที่แย่มากๆ เป็นการวางยาทิ้งทวน ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งโดยปกติวิสัยของรัฐบาลรักษาการ นั้นไม่ควรทำ ซึ่งประชาชนคงต้องจับตาดูต่อไป ว่ารัฐบาลที่กำลังจะเข้ามารับไม้ต่อ จะจัดการอย่างไรกับหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุฉบับนี้